The secret of Watson’s diary – watson x holmes -2

Title : The secret of Watson’s diary [2]Warning Yaoi!!

Author : ++YuHankunG ++

Fandom : Shrelock Holmes

Pairing : watson x holmes

Rate : PG-15

Category : Drama

Note :   ย้ายฟิคมาเก็บจาก gloomygirls.exteen.com ค่ะ

—————————————————————————————————

 

 

  ….สิ่งที่เรามองเห็นนั้น…บางทีอาจจะเป็นภาพลวงตาก็เป็นได้…

เพราะประสาทสัมผัสทั้ง5นั้น…ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อล่อลวงเหล่ามนุษย์ผู้โง่เขลา…

.ด้วยเหตุนี้…เมื่อถึงเวลาต้องเลือก….จงเชื่อในความรู้สึกของตนเองเถิด…

 

 

 

 

ในครั้งแรกที่ข้าพเจ้าจับปากกาขึ้นมาเพื่อเป็นบทต่อของบันทึกฉบับนี้ ข้าพเจ้ามีความรู้สึกลังเลอยู่ว่าเรื่องราวเหล่านี้ควรจะบันทึกเอาไว้หรือไม่ หากแต่การพลาดช่วงหนึ่งช่วงใดของนักสืบผู้ใหญ่ซึ่งผมได้อุทิศชีวิตเพื่อชีวประวัติของเขานั้น ก็คงจะถือว่าความพยามนั้นเสียเปล่า ดังนั้นข้าพเจ้าจึงตัดสินใจที่จะบันทึกเรื่องราวที่น่าเศร้านี้ต่อไปโดยที่ตั้งใจเอาไว้แล้วว่าส่วนหนึ่งของบันทึกเหล่านี้จะไม่ถูกเผยแพร่ออกไป

 

 

เช้าวันหนึ่งในฤดูหนาว ปี 18xx เป็นเวลา 5 ปีให้หลังจากการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตที่ทำให้ข้าพเจ้าต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างชืดชาต่อเหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต มีโทรเลขฉบับหนึ่งถูกส่งมา มันจ่าหน้าเอาไว้ว่ามาจากสโมสรดาโอจินิส ข้าพเจ้าต้องยอมสารภาพว่ารู้สึกตื่นเต้นมากขณะที่กำลังแกะซอง

 

การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับโฮล์มส์เป็นเวลาหลายปีนั้นคงทำให้ข้าพเจ้าตินิสัยกระหายที่จะได้ปริศนามาให้ขบคิด ในระยะหลังมานี้แม้จะไม่มีเขาแต่ข้าพเจ้าก็ยังคงพยามไขคดีต่างๆโดยอาศัยการอนุมานตามหลักของเขาซึ่งมันอาจจะบ้างไม่สำเร็จบ้างตามแต่ความสามารถที่ข้าพเจ้ามี

 

ข้าพเจ้าเปิดอ่านมันทันทีอย่างรวดเร็ว ทว่าภายในกลับเขียนไว้ด้วยข้อความสั้นๆเพียงหกคำ ดังนี้

 

“เขาต้องการคุณ พบผมด่วน

M.H.”

 

แม้จะไม่มีข้อความหรือจุดบ่งบอกว่ามันถูกส่งมาจากใครและเพื่อจุดประสงค์ใด แต่ข้าพเจ้าก็มั่นใจเสียเหลือเกินว่ามันต้องเป็นของมิสเตอร์ ไมครอฟต์ โฮล์มส์  ผู้ชายเพียงคนเดียวที่โฮล์มส์ยกย่องว่าอยู่เหนือกว่าเค้าในลอนดอนแห่งนี้

 

ข้าพเจ้าจัดการเก็บจดหมายลงในลิ้นชักก่อนจะลั่นดาลเก็บมันเอาไว้ในลิ้นชัก จากนั้นก็ไปลาแมรี่และลูกๆบอกว่าตนมีธุระด่วนต้องรีบไปที่ลอนดอน แล้วจึงฝากร้านเอาไว้กับนายแพทย์ที่ประจำอยู่ที่คลินิกข้างๆ

 

เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้วข้าพเจ้าจึงว่าจ้างรถม้าคันแรกที่ผ่านมาเพื่อมุ่งหน้ากลับไปยังลอนดอน การเดินทางครั้งนี้เร็วกว่าที่คาดเอาไว้มากเพราะใช้เวลาแค่เพียงไม่กี่ชม. ข้าพเจ้าก็มายืนอยู่ที่หน้าสโมสรแห่งนี้แล้ว ในขณะที่กำลังชั่งใจอยู่ว่าควรจะเข้าไปเลยดีหรือไม่ ก็มีเสียงทักมาจากรถม้าซึ่งเพิ่งแล่นมาจอดอยู่ด้านหลัง

 

“สวัสดีวัตสัน พวกเรารอคุณมานานแล้วขึ้นมาเถอะ” และแล้วก็เป็นดังที่ข้าพเจ้าคาดโทรเลขฉบับนั้นถูกส่งมาจากพี่ชายของโฮล์มส์จริงๆเสียด้วย

 

 

บรรยากาศของการเดินทางในครั้งนี้ช่างต่างกับครั้งที่ผ่านๆมาระหว่างข้าพเจ้ากับโฮล์มส์เสียเหลือเกิน เพราะตามปกตินั้นโฮล์มส์มักจะเล่าเรื่องราวอันน่าตื่นตาหรือไม่ก็ถามปัญหาเพื่อทดสอบความสมารถไปตลอดทาง แต่กับพี่ชายของเขานั้น มีแต่เพียงความเงียบเท่านั้น มีหลายครั้งที่ข้าพเจ้าพยายามที่จะเอ่ยปากถามเขาถึงสาเหตุที่ตนถูกเรียกตัวมา แต่ไม่ทราบเพราะเหตุใดแค่เพียงเขาเหลือบมองมาเท่านั้นคำพูดที่ต้องการจะว่ากล่าวออกไปกลับจุกอยู่ที่คอหอย

 

ในระหว่างที่ข้าพเจ้ากำลังรู้สึกกระวนกระวายกับความน่าอึดอัดเหล่านี้ชายผู้ซึ่งนั่งเงียบมาตลอดทางก็ได้เอ่ยปากขึ้นราวกับมองเห็นความคิดได้

 

“ผมคาดว่าคุณกำลังรู้สึกอึดอัดและมีคำถามมากมายอยากจะถามผมล่ะสิ ต้องขอโทษด้วยจริงๆเพราะผมเป็นคนไม่ค่อยพูดจึงมักไม่เปิดประเด็นการสนทนาขึ้นมาก่อน แต่ในกรณีนี้ถ้าผมไม่เอ่ยอะไรทำลายความเงียบขึ้นมาก่อนละก็พวกเราคงไม่ได้สนทนากันสักนิดจนกระทั่งถึงที่หมายเป็นแน่” ข้าพเจ้าต้องยอมรับว่าในส่วนนี้เขาเหมือนกับโฮล์มส์จริงๆ หากแต่ถ้าเป็นโฮล์มส์คงไม่มานั่งสนใจหรอกว่าใครจะรุ้สึกยังไง

 

“เขาในโทรเลขหมายถึงโฮล์มส์ใช่มั๊ยครับ”

 

บางทีนี่อาจจะเป็นคำถามที่โง่ที่สุดในชีวิตนับสามกว่าปีที่ผ่านมาก็ก็เป็นได้ ทั้งๆที่รู้ว่าเขาไม่ได้อยู่บนโลกนี้เสียแล้วแต่ก็ยังแอบหวังอยู่ลึกๆว่าเขา อาจจะได้ปาฏิหาริย์ช่วยให้รอดชีวิต

 

 “ใช่แล้ว”

 

 

 

หากข้าพเจ้าสังเกตเขาให้ละเอียดในตอนนั้นคงเห็นได้ถึงความแปลกใจที่เกิดขึ้นเล็กน้อยในแววตา ซึ่งเขาได้เอ่ยขึ้นมาในตอนหลังว่ารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยจริง

 

“และธุระในครั้งนี้ก็เป็นตามที่เขียนไว้ในจดหมายนั่น” แต่ด้วยความยินดีที่ได้รับคำยืนยันทำให้ข้าพเจ้าไม่สนใจที่จะสังเกตอาการเหล่านั้นแต่กลับระดมคำถามรัวอย่างกับเด็กเพิ่งหัดพูด

 

 

“ถ้าเป้นอย่างนั้นก็แสดงว่าเขารอดชีวิตมาจากน้ำตกนั่น แล้วทำไม ห้าปีมานี้ผมถึงไม่ได้ยินข่าวคราวของเขาเลย แล้วที่ผ่านมาเขาหายไปไหน…” ยังไม่ทันที่ข้าพเจ้าจะได้พูดจนจบก็ถูกขัดขึ้นจากชายผู้นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

 

“คำตอบของคำถามเหล่านั้นคุณจะทราบเองเมื่อได้พบกับเชอร์ล็อก คุณวัตสัน” เขากล่าวก่อนจะเปิดประตูออกไป

 

 

และนั่นทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกตัวว่าการเดินทางได้จบลงแล้ว ทันทีที่ประตูรถม้าถูกเปิดออกให้ได้ยลภาพเบื้องหน้าอันแสนตระการ คฤหาสน์สีขาวหลังโตถูกปลูกอยู่ท่ามกลางป่าลึก เป็นความงดงามที่ข้าพเจ้าไม่คิดว่าชีวิตนี้จะได้มาพบเจอ

 

“ผมคงต้องส่งคุณแค่นี้ล่ะคุณหมอ เพราะถ้าเจ้าเชอร์ล็อกมาเห็นเขาต้องไม่พอใจแน่ๆที่ผมพาคุณมาที่นี่ หลังจากที่เขาได้รับบาดเจ็บที่น้ำตกนั่นทำให้เขาค่อนข้างจะอารมณ์รุนแรงกว่าที่เคยอยู่สักหน่อย”

 

“เขาได้รับบาดเจ็บงั้นหรือ?” ข้าพเจ้าเอ่ยทวนอย่างสงสัย แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อเขากลับขึ้นไปยังรถม้าเป็นสัญญาณว่าจะไม่มีการตอบคำถามใดๆทั้งสิ้นอีกแล้ว ดังนั้นข้าพเจ้าจึงตัดสินใจเดินเข้าไปด้านในของตัวคฤหาสน์ทันที

 

 

เสียงฝีเท้าดังก้องไปทั่วทางเดินอันโอ่โถงแต่กลับดูเงียบเหงาวังเวงอย่างประหลาดเสียงไวโอลินแสนคุ้นเคยที่ลอยมาตามลม ทำให้ข้าพเจ้าสามารถหาโฮล์มส์ได้ไม่ยากนักน่าแปลกที่ข้าพเจ้ารีบเร่งเสียจนเกิดเสียงฝีเท้าดังก้องไปทั่วโดยไม่คำนงถึงมารยาทใดๆทั้งสิ้นเพราะต้องการที่จะพบกับโฮล์มส์ให้เร็วที่สุดแต่กลับมาหยุดเอาเสียดื้อๆตรงหน้าประตูแกะสลักเพียงบานเดียวที่กั้นระหว่างเราทั้งสองเอาไว้

 

ข้าพเจ้ากำลังรู้สึกกลัว ความหนาวยะเยือกพุ่งขึ้นมาจากบริเวณใดก็ไม่อาจทราบ แต่มันกำลังกัดกินเข้าไปถึงกระดูกสันหลัง อาการป่วยของโฮล์มส์เป็นอย่างไรกันแน่  เพราะอะไรเขาถึงไม่ยอมติดต่อกลับมาเลยตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา

 

ประตูแผ่บางเบื้องหน้านี้เปรียบได้กับหีบของแพนดอร่าที่หากเผลอไปเปิดมันเข้าก็จะเกิดภัยพิบัตินับไม่ถ้วน

 

ระหว่างที่ข้าเพจ้ากำลังชั่งใจอยู่นั่นเอง เสียงหนึ่งที่ดังมาจากอีกฝั่งของประตูก็ทำให้ความรู้สึกนึกคิดทั้งหมดของข้าพเจ้าเป็นหมันไปโดยสิ้นเชิง

 

นั่นเป็นเสียงของโฮล์มส์ไม่ผิดแน่

 

“ถ้าแกมาถึงที่นี่แล้วก็เข้ามาสิ วัตสัน”

 

 

ใบหน้าของโฮล์มส์ประดับดับร้อยยิ้มจางที่ข้าพเจ้ามองแล้วรู้สึกสะเทือนใจเสียเหลือเกิน พลาดไปเสียแล้ว ข้าพเจ้าอุทานในใจ  สภาพของเขาในเวลานาน ช่างน่าเวทนาสงสารอย่างที่สุดจริงๆ ภายในห้องที่กว้างใหญ่ หน้าต่างทุกบานต่างถูกรูดม่านปิดเอาไว้จนแสงไม่สามารถส่องเข้าได้ดูจากฝุ่นที่จับอยู่สามารถบอกได้เลยว่าหน้าต่างเหล่านี้ไม่ได้ถูกเปิดมาเป็นเวลานานอย่างน้อยที่สุดก็ไม่ต่ำกว่าสามเดือนเป็นแน่ซึ่งนั่นคงเป็นธรรมดาของเขา

 

แต่สิ่งที่ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกเศร้าโศกกลับเป็นสุขภาพที่ดูเหมือนจะก้าวข้ามคำว่า ทรุดโทรม  ไปไกลโข ใบหน้าที่เคยหล่อเหลาบัดนี้ซูบซีดร่วงโรยด้วยอาการของการเจ็บไข้ ริมฝีบางบางแห้งแตกระแหง ข้อมือบางที่โอบซอสตราดิวาเรียสก็เหลือแต่เพียงผิวหนังที่หุ้มกระดูกอยู่เท่านั้น และดูเหมือนมันจะกระตุกอยู่น้อยๆ

 

บรรยากาศแห่งความสิ้นหวังอบอวลไปทั่วภายในห้องแห่งนั้น

 

“สภาพของกันดูแย่ขนาดนั้นเลยรึ วัตสัน” เขาเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นแววตาของข้าพเจ้า ” อืม….สำหรับกันแล้ว กันเองก็คิดว่า มันน่าสมเพชมากพอดูเหมือนกันล่ะ ไม่ต้องรอให้แกมามองกันด้วยสายตาแบบนั้นหรอก กันรู้ตัวกันเองดีว่าตอนนี้กันมีสภาพยังไง”

 

ภาพเบื้องหน้าทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกเป็นใบ้อย่างกะทันหัน จึงได้แต่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น มีคำพูดมากมายเหลือเกินที่อยากบอกออกไป แต่การพบเจอที่แสนกะทันหันนี้ ทำให้ระบบความคิดของข้าพเจ้าสับสนจนไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดี จึงตอบออกไปได้แค่เพียง

 

“โฮล์มส์ แกหายไปไหนมาตั้งนาน รู้มั๊ยว่ากันรู้สึกยังไงน่ะ” เมื่อกล่าวจบข้าพเจ้ารู้สึกได้ถึงน้ำอุ่นๆที่ปริ่มอยู่บริเวณขอบตา จึงต้องรีบหันหน้าไปทางอื่นเสีย

 

“เพราะกันรู้น่ะสิว่าแกรู้สึกยังไง ตลอดหลายปีมานี้แกจึงไม่ได้ยินข่าวของกันเลย ว่าแต่แกยังอยากรู้รึเปล่าว่ากันรอดออกมาจากน้ำตกนรกนั่นได้ยังไง” มันเป็นการหันเหหัวเรื่องที่ชาญฉลาด เพราะไม่มีประโยชน์ที่เราจะพูดเรื่องนี้กันต่อไปโฮล์มส์จึงได้เลี่ยงไปสนทนาในประเด็นอื่นแทน

 

“อ่า…แน่นอนโฮล์มส์”ข้าพเจ้ากล่าวก่อนที่ทรุดลงนั่งลงบนโซฟาที่ตั้งอยู่ข้างเตาผิงซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดแสงเพียงแห่งเดียวภายในห้อง

 

“เรื่องมันก็คือว่า อย่างที่แกเห็น มันยากมากที่จะปีนขึ้นมาจากเบื้องล่างของน้ำตกนั่นแม้จะเป็นตัวกันเองก็ตาม แต่นั่นมันก็ในกรณีที่กันตกลงไปน่ะนะ” โฮล์มส์กล่าวก่อนจะขยับยิ้มเล็กน้อย

 

“แต่ที่กันเห็นมันไม่มีรอยเท้าของแกกลับมานี่นา” ข้าพเจ้าเถียงเพราะจากสิ่งที่เห็นนั้นมันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่ได้ตกลงไปด้วย

 

“วัตสันที่รัก กันบอกแกกี่ครั้งแล้ว ว่ารายละเอียดเพียงเล็กน้อยจะนำแกไปสู่ความจริงที่ถูกปกปิดน่ะ รอยเท้าที่แกเห็นเดินคู่กันตรงไปยังน้ำตกเลยใช่หรือไม่ แกคิดว่าพวกกันจะยอมฆ่าตัวตายไปโดยที่ไม่ทำอะไรเลยงั้นหรือ แกพลาดจุดเล็กน้อยนี่ไปแล้ว  ขอซิก้าร์ให้กันที่วัตสัน แค่กๆ” โฮล์มส์ไอออกมาพลางหอบจนตัวโยนสีหน้าของเขาดูไม่สู้ดีนักจนข้าพเจ้าอดไม่ได้ที่จะเคลื่อนตัวเข้าไปดูอาการของเขาใกล้ๆ

 

“ถอยออกไป ! ถอยไปเดี๋ยวนี้ ! ไปไกลๆเลย !”เขาสั่งด้วยน้ำเสียงที่เฉียบขาดซึ่งข้าพเจ้ามักจะได้ยินในเวลาคับขันเท่านั้น “ถ้าขืนแกยังเข้ามาใกล้กันอีกแม้แต่นิดเดียวกันจะเรียกคนให้มาลากตัวแกออกไป !!!”

 

“ทำไมล่ะ โฮล์มส์ แกกำลังไม่สบาย และกันเองก็เป็นหมอและกันก็คิดว่าแกกำลังต้องการหมอมาดูอาการด่วนอย่างที่สุดเลยด้วย!!”

 

“เพราะมันเป็นความต้องการของกัน เป็นไง แค่นี้พอมั๊ย?” แม้แต่ในขณะที่สิ้นเรี่ยวแรงอย่างนี้เขาก็ยังแผลงฤทธิ์ได้อยู่ดี

 

“แต่กันอยากจะช่วยแก”

 

“แกช่วยกันมามากพอแล้วในฐานะหมอ”

 

“แต่นี่ในฐานะเพื่อนสนิท”

 

” นั่นยิ่งไม่จำเป็น กันไม่ได้ป่วย มันเป็นเพราะอากาศเฮงซวยนี่ต่างหากที่ทำให้กันดูไม่ดี” แม้มันจะดูเป็นเหตุผลที่สิ้นคิดเพียงใดก็ตาม แต่ถ้าหลุดออกมาจากปากของเชอร์ล็อก โฮลมส์แล้วล่ะคุณก็คงคิดเหมือนกัน ว่ามันอาจจะจริงก็ได้ 

 

 

แต่ข้าพเจ้าในตอนนั้นกลับไม่เชื่อถือมัน เนื่องจากต้องการตรวจดูด้วยตัวเองให้แน่ใจว่าอาการของเขาเป็นเช่นไรกันแน่ จึงไม่ฟังคำเตือนของเขาและเลิกผ้าห่มหนาที่คลุมอยู่ออก

 

 

“หยุดเดี๋ยวนี้นะวัตสัน!” เขาตะตอกเสียงดังลั่นในขณะที่ข้าพเจ้าได้แต่ยืนอึ้งอยู่ตรงนั้นขาของเขาพิการไปเสียแล้วข้างนึงอย่างไม่ต้องสงสัยจากลักษณะกล้ามเนื้อที่ผิดปกตินั้น

 

“พระเจ้าช่วย!!!!” ข้าพเจ้าทำได้แค่เพียงอุทานออกมา

 

“เราไม่มีอะไรต้องคุยกันอีกแล้ววัตสัน ! กลับไปเดี๋ยวนี้ ! แกละเมิดข้อตกลงที่มีไว้กับกัน และกันต้องการให้แกออกไปเดี๋ยวนี้!!!!” เขาตวาดข้าพเจ้าด้วยน้ำเสียงที่เกรี้ยวกราดอย่างน่าตกใจ

 

“โฮล์มส์ขาแกมันยังมีทางรักษานะ ถ้าแกทำกายภาพบำบัดอย่างต่อเนื่องกันรับรองว่าแกจะต้องกลับมาเดินได้เหมือนปกติแน่” ข้าพเจ้าพยามกล่าวเตือนสติเขาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะจากต้องจากไป เสียงร้องเมื่อครู่คงดังไปถึงด้านล่างและอีกไม่นานข้าพเจ้าคงจะถูกคนของที่นี่ลากออกไปตามคำสั่งโฮล์มส์

 

“ยังมีคดีอีกมากมายที่รอแกกลับไปสะสางอยู่นะ แต่ถ้าแกจะยอมแพ้อยู่นี่ก็ตามใจแก”ข้าพเจ้าตัดสินใจประชดเพื่อหวังว่ามันจะกระตุ้นเขาขึ้นมาจากสภาพหมดอาลัยตายอยากในตอนนี้

 

“แค่เดินงั้นหรือวัตสัน” เขาพึมพำออกมาเบาๆ ” กันรู้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในสถานการณ์นี้ก็คือกันแค่กลับเดินได้ แต่กันจะไม่สามารถวิ่งหรือกระโดดได้อีกต่อไป แล้วแกว่านักสืบที่ไม่สามารถจะไล่ตามจับคนร้ายได้เนี่ย จะยังเป็นนักสืบอยู่อีกรึเปล่าล่ะ” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยการตัดพ้อนั้นทำให้ข้าพเจ้าหลุดปากพูดสิ่งที่ไม่ควรพูดมากที่สุดออกไป

 

 

 

 “ถ้าอย่างนั้น กันจะเป็นขาแทนแกเอง!!!!” 

 

 

“เฮอะ” เขาเพียงแค่นเสียงก่อนจะมองมาที่ข้าพเจ้าอย่างสมเพช “แกก็เป็นอย่างนี้เสมอวัตสัน ความใจอ่อนของแกจะนำภัยมาให้ แกจะเป็นขาให้กันได้อย่างไรในเมื่อแกยังมีครอบครัวมีลูกๆที่ต้องกลับไปดูแล”

 

ต้องยอมรับว่าคำพูดของเขาทำให้ข้าพเจ้าจนมุมจริงๆ แม้จะอยากร่วมทางไปกับเขาแค่ไหน แต่ข้าพเจ้าก็ไม่สามารถละทิ้งภาระที่แบกอยู่บนบ่าออกไปได้

 

 

“เอาเถอะ กันขอโทษที่พูดเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่กันไม่อยากเห็นแกในสภาพแบบนี้อีก”

 

“นั่นแกต้องโทษความจุ้นจ้านของมิสเตอร์ไมครอฟต์นู่น ที่ไปลากแกมาจนได้ถึงนี่ กันจะมีสภาพแบบไหนมันก็เรื่องของกัน แค่ก..แค่กกๆ คดีของเรามันจบสิ้นลงแล้วและจะไม่มีคดีต่อไปอีก และเมื่อแกไม่มีเหตุผลที่จะอยู่ที่นี่อีก ก็เชิญกลับไปซะ”

 

“ตกลงโฮล์มส์ กันจะไป ถ้าการที่กันอยู่มันทำให้แกรู้สึกไม่ดีนักล่ะก็” โฮล์มส์นิ่งเงียบไม่ตอบคำราวกับจะบอกว่ามันจบลงแล้ว “แต่กันอยากให้รู้ว่ากันเป็นห่วงแกจากใจจริง ไม่ได้เป็นเพราะกันสงสารแก แต่เป็นเพราะกันรักแก ลาก่อน โฮล์มส์”

 

ข้าพเจ้ากล่าวคำอำลาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะหมุนลูกบิดเพื่อก้าวออกไป แต่ก็มีเสียงหนึ่งรั้งเอาไว้

 

“กันขอโทษที่พูดจาไม่ดีใส่แกวัตสัน การที่แกมากันรู้สึกดีใจมาก แกจะมาเยี่ยมกันก็ได้ถ้าแกสัญญาว่าจะไม่บอกเรื่องนี้กับใครแม้แต่เมียแก กันยินดีจะเป็นเพื่อนคุยให้แกได้เสมอตราบเท่าที่แกไม่เข้ามายุ่งเรื่องของกัน”

 

ความมืดสลัวนั้นทำให้ข้าพเจ้าไม่อาจสังเกตได้ชัดว่าเขากำลังทำหน้าเช่นใดอยู่ เพียงแต่น้ำเสียงที่ได้ยินนั้นช่างดูอ้างว้างเหลือเกิน

 

“แล้วเจอกันนะโฮล์มส์” ข้าพเจ้ากล่าวก่อนจะปิดประตูให้เหมือนเดิมแล้วจากมา ชั่วงเวลาเดียวกันกันเสียงไวโอลินที่ดังขึ้นอีกครั้ง แม้จะยังคงบรรเลงด้วยทำนองที่หงอยเหงาแต่กลับแฝงไปด้วยความอบอุ่นจางๆ

 

 

ราวกับเจ้าของใช้มันเพื่อบอกกล่าวข้อความถึงใครบางคน

 

 

…แน่นอน..คู่หู..

…แล้วพบกันใหม่…

 

 

 

the end  part II