[AU-TMR] Song fiction project : A Little Thing Called Love.

[AU-TMR] Song fiction project : A Little Thing Called Love.

Pairing: Minewt

Author: ++YuHankunG++

 

 

 

TALKS:

ฟิคเรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งในโปรเจคต์ซองฟิค “สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่ารัก” ของไอวิช

ตรงพาร์ทนี้ของเราคือเป็นส่วนของวัยทำงานล่ะ รีบเขียนมาก เมามาก พร้อมรับคำติชมเสมอ คอมเมนท์ติด #minewtSF ได้นะคะ

 

พาร์ทแรกของน้องปัน https://pinkmitsu0606.wordpress.com/2015/09/28/minewt-song-fic-project-a-little-thing-called-love/

พาร์ที่สองของพี่รัน https://lunzury.wordpress.com/2015/09/30/au-tmr-songfic-project-when-we-met-first/

 

=============================================================================

 

 

 

 

 

หากสิ่งที่เจอมันจะเพียงแค่บังเอิญ
ก็คงจะเป็นความบังเอิญครั้งยิ่งใหญ่
ทำให้ได้รู้ทันทีว่ารักเป็นเช่น ไร
ความหวั่นไหวที่ได้พบในวันนี้

 

 

นิวท์ยังจำวันแรกที่เขาพบกับมินโฮได้

 

มันเป็นเรื่องราวของอุบัติเหตุชวนหัวที่ทำให้เขาอดยิ้มน้อยๆออกไม่ได้ในยามที่นึกถึงวันนั้นที่ฝนตกพรำๆอยู่หน้าซุปเปอร์มาร์เกตและเขาที่ซื้อของมาจนพะรุงพะรังพบว่าร่มคันโปรดที่เขาใช้งานอยู่เป็นประจำมันดันเกิดใช้งานขึ้นมาไม่ได้เอาเสียนี่ นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มกลอกขึ้นลงอย่างเหนื่อยหน่ายและปลงตก สงสัยเห็นทีว่าเขาคงจะต้องนั่งรออยู่แถวนี้สักพักไปจนกว่าฝนจะหยุดเสีย

 

“เฮ้อ..” เสียงถอนหายใจของคนสองคนดังสอดประสานกันเสียพอดิบพอดีจนชายหนุ่มผมบลอนด์ถึงกับหหันขวับไปมองอย่างแปลกใจ พร้อมกันกับที่คู่สนทนาเองก็หันกลับมาด้วยเช่นกัน พวกเขาสบตากันแล้วยิ้มก่อนที่ซาลารี่แมนเกาหลีในชุดสูทที่ดูไม่ค่อยจะเข้ากันนักจะเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนา

 

“ท่าทางคุณมีปัญหานะ” คนแปลกหน้าทักด้วยสำเนียงแบบอเมริกันก่อนส่งยิ้มที่สามารถละลายหัวใจสาวๆแถบนี้ได้อย่างสบายมาให้แต่กลับไม่ส่งผลอะไรมากมายกับคนอย่างนิวท์มากนัก ชายหนุ่มเพียงแค่เห็นว่ามันก็แค่ดูน่ารักดี

“ร่มผมเสียพอดีน่ะ แล้วคุณล่ะ?” น้ำเสียงทุ้มหวานตอบกลับอย่างสุภาพ

 

นิวท์คิดว่าอย่างไรถ้าต้องติดฝนอยู่แบบนี้มีเพื่อนคุยสักนิดก็คงไม่เลวร้ายนักหรอก

 

“ซื้อของไม่ถึงยอดที่นี่เลยไม่รับบัตรเครดิตน่ะ แถมผมไม่ได้แลกเงินมาเผื่อด้วย” คู่สนทนาบ่นหงุงหงิงราวกับหัวเสียหากแต่ท่าทางแบบนั้นกลับเรียกรอยยิ้มเอ็นดูให้ผุดขึ้นบนใบหน้าหวานใสอย่างไม่รู้ตัว อะไรบางอย่างลึกๆในตัวเขากลับรู้สึกว่าผู้ชายตรงหน้าทำให้หัวใจอบอุ่นขึ้นได้อย่างประหลาด

 

“ถ้าอย่างนั้นคุณมีร่มรึเปล่าล่ะ? เดี๋ยวผมออกให้ก่อน แล้วทีนี้คุณก็กางร่มไปส่งผมที่สถานีพร้อมพงษ์ตรงโน้นที่นั่นมีร้านแลกเงินอยู่นะ”

 

“ข้อเสนอที่ดี”

 

“ก็วิน-วินกันทั้งคู่จริงไหม?”

 

 

 

 

 

 

 

 

 

นั่นเป็นแค่เพียงจุดเริ่มต้นของเรื่องราวอีกมากมายที่ตามมาหลังจากนั้น ผู้ชายคนที่กางร่มไปส่งให้นิวท์จนถึงสถานีคนนั้นแนะนำตัวในภายหลังว่าตัวเขาชื่อมินโฮ เป็นโปรแกรมเมอร์จากเกาหลีที่เข้ามาดูโปรเจคในบริษัทข้ามชาติที่มีสาขาอยู่ที่ประเทศไทยและเขาก็กำลังที่จะหาที่พักสำหรับการมาคุมโครงการนี้สักระยะ ดังนั้นนิวท์จึงแนะนำคอนโดที่ตัวเขาเองพักอาศัยไปโดยยินยอมให้อีกฝ่ายเดินไปดูบรรยากาศของคอนโดโดยทำทีว่าเป็นเพื่อนของเขาแลกกับการที่มินโฮจะคอยกางร่มไปส่งเขาจนถึงที่พัก

 

จะว่าไปแล้วมันค่อนข้างดูเหมือนใจง่ายและไม่ระวังตัวเกินไปสักนิด หากแต่นิวท์ไม่ค่อยจะได้คิดมากอะไรกับเรื่องนี้นัก ต่อให้เพื่อนใหม่ที่เพิ่งเจอกันวันนี้จะเป็นพวกต้มตุ๋นหลอกลวงก็ตามทีเพราะไม่ว่าจะใช่หรือไม่ ในสังคมที่เขาใช้ชีวิตอยู่ก็เต็มไปด้วยเรื่องโกหกหลอกลวงไม่เว้นแต่ละวันอยู่แล้ว

 

หลังจากนั้นไม่นานมินโฮก็ย้ายเข้ามาพักที่คอนโดแห่งเดียวกันกับเขาแถมยังมาอยู่ห้องตรงข้ามอีกเสียด้วยราวกับโชคชะตาเล่นตลกนั่นทำให้พวกเขาค่อยๆที่จะพัฒนาความสนิทสนมกันมากขึ้นเรื่อยๆตามลำดับ เพราะอีกฝ่ายไม่ค่อยรู้ทางเขาจึงรับอาสาที่จะคอยพาพ่อหนุ่มแปลกถิ่นที่มีรอยยิ้มน่ารักนั้นไปตระเวนทัวร์ตามร้านรวงต่างๆในแถบนี้ไม่ว่าจะเป็นร้านแกงกะหรี่จานยักษ์ ซูชิ ร้านสุกกี้ หรือแม้กระทั่งบาร์ที่พวกเขากำลังนั่งกันอยู่

 

“คุณอยู่เมืองไทยมากี่ปีแล้ว?” มินโฮถามเสียงเบาคลอไปกับเสียงดนตรีคลาสสิคนุ่มหวานที่ร้านกำลังเปิดคลอในค่ำคืนของวันสุดสัปดาห์  นิวท์สบตากับคู่สนทนาก่อนจะส่งยิ้มอย่างใจดีให้กับเหล่าพนักงานสาวออฟฟิศที่ส่งสายตาอยากรู้อยากเห็นมาทางนี้จนพวกหล่อนทนเขินไม่ได้ต้องละสายตากลับไปก่อนเอ่ยตอบคำถาม

 

“ห้าปีกว่าได้ ผมมาเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนสมัยอยู่มหาวิทยาลัยน่ะ ไปๆมาๆก็เกิดติดใจ ที่นี่คนน่ารักดี อาหารก็อะไร คุณเชื่อไหมว่าประเทศนี้เป็นประเทศที่คุณสามารถสรรหาอาหารแทบทุกชาติมาทานได้เลยนะ” ชายหนุ่มผมบลอนด์ตอบยิ้มๆก่อนจะยกแก้วบรั่นดีขึ้นจิบแล้วส่ายหน้าคล้ายปฏิเสธให้กับชายหนุ่มโต๊ะข้างเคียงที่คิดจะทอดสะพานมาให้“คิดว่าผมอยู่มานานเพราะอ่านออกเขียนได้งั้นเหรอ?”

 

นิวท์ยิ้มให้อีกที แต่เป็นยิ้มที่แตกต่างกับการปฏิเสธอย่างสุภาพให้กับสาวๆหรือแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่สนใจกับชายหนุ่มในโต๊ะข้างเคียง เขายิ้มให้มินโฮเพราะเขาอยากจะยิ้มแล้วก็ชอบที่ทุกครั้งชายหนุ่มตรงหน้าจะยิ้มจนตาหยีตอบกลับมา

 

“ทำนองนั้น…งั้นคุณแปลเพลงนี้ให้ผมฟังหน่อยได้รึเปล่า?” คู่สนทนาเอ่ยคำขอถึงเพลงไทยหวานๆที่เปิดคลออยู่ตอนนี้ซึ่งนิวท์จำได้แม่นว่ามันเป็นเพลงเดียวกับที่เคยดังเมื่อครั้งที่พวกเขาเจอกันครั้งแรก

 

 

 

 

เก็บอาการไว้จนในใจห้ามไม่อยู่
ไม่อยากให้รู้มีอะไรซ่อนในใจ
เป็นสิ่งเล็กเล็กในมุมลึกลับในหัวใจ
เก็บเอาไว้เผื่อวันหนึ่งเธอจะรู้

สิ่งที่เล็กเล็กที่ฉันเรียก มันว่าความรัก
แค่เพียงได้รักเท่านั้นคงไม่ยิ่งใหญ่
แต่โลกของฉันนั้นหมุนไป
ด้วยหัวใจที่ได้รักเธอ เพราะเธอคือ

 

 

“มันพูดถึงเรื่องความรักนะ ความรักที่ต้องแอบซ่อนเอาไว้ไม่กล้าบอกแต่ความรักนั้นก็เป็นสิ่งที่ทำให้โลกของใครคนหนึ่งหมุนไปมาได้อย่างมีชีวิตชีวา”  นิวท์เอ่ยตอบก่อนจะรู้สึกว่าบางอย่างผิดไปจากทุกที มือได้รูปของมินโฮเกาะเกี่ยวเอาที่ไหล่แคบของเขาอย่างถือสิทธิ์ ชายหนุ่มเดาว่าอีกฝ่ายคงจะเมามากพอดูแต่เขากลับไม่เดือดร้อนอะไรนักซ้ำยังเลื่อนมือของอีกคนให้มาวางโอบเข้าที่เอวคอดอย่างจงใจ

 

“กล้าๆหน่อย” เขาเอ่ยเย้ามินโฮที่กำลังหน้าขึ้นสีจางๆปนไปกับฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ทำให้การตัดสินใจต่างๆขาดความยั้งคิดไปหมด “คุณเคยมีรึเปล่ามินโฮ ความรักที่เหมือนเป็นทุกอย่างในชีวิตแบบนั้นน่ะ”

 

“มีสิ” น้ำเสียงที่นิวท์ชอบกระซิบเข้ากับผิวเนื้ออ่อนบริเวณต้นคอชวนให้ใจสั่นไหว “แล้วคุณล่ะ?”

 

“ก็…กำลังมองหาอยู่ล่ะมั้ง”

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

กว่าที่จะรู้ตัวอีกทีว่าทำอะไรลงไปก็เป็นเวลาเกือบรุ่งสาง นิวท์กระพริบตาขับไล่ความมึนงงก่อนจะพบเข้ากับสาเหตุของความร้อนที่ทำให้เขาต้องตื่นขึ้นมากลางดึก ใบหน้าดูดีของเพื่อนชาวเอเชียอยู่ห่างจากเขาไปไม่ถึงคืบ ดวงตายิบหยีที่เขาชอบนั้นกำลังปิดสนิทดูราวกับเด็กน้อยได้เดียงสา ช่างขัดแย้งกับการกระทำที่แสนร้อนแรงที่เพิ่งจบไปได้ไม่นานเสียเหลือเกิน

 

นิวท์ไม่ได้เวอร์จิ้น และแน่นอนว่าด้วยรูปร่างหน้าตาอย่างเขาไม่น่าแปลกใจเลยที่จะมีคนมากมายเข้ามาติดพัน

 

หากแต่ในบรรดาคนเหล่านั้นกลับไม่มีคนไหนเลยที่จะให้ความรู้สึกเหมือนกับมินโฮ

 

ชายหนุ่มผลบลอนด์ขยับเข้าใกล้อีกฝ่ายมากขึ้นทั้งที่แต่แรกก็ถูกตระกองกอดเอาไว้จนแทบจะเป็นคนคนเดียวกันอยู่แล้วก่อนที่จะประทับริมฝีปากอ่อนนุ่มลงไปยังเรียวปากของอีกคน

 

ยิ่งกว่าหวั่นไหว

 

เรื่องนี้นิวท์รู้ตัวชัดเจนในตอนที่ริมฝีปากของพวกเขาเข้าสัมผัสกันในคราแรกที่ผับ ท้องน้อยของเขาวูบโหวงราวกับมีผีเสื้อเป็นร้อยๆตัวบินอยู่ในนั้นอย่างที่นิยายน้ำเน่าชอบพูดกัน หัวใจของเขาเต้นระส่ำไม่เป็นท่าพาลให้การตอบสนองอื่นๆดูจะเคอะเขินเก้กังไปเสียหมด แต่ดูเหมือนมินโฮเองก็ไม่ได้จะไม่พอใจอะไรในเรื่องนี้ซ้ำยังช่วยพาเขาขึ้นสวรรค์ด้วยเทคนิคที่เจนจัดเสียจนอดประทับใจไม่ได้

 

บางทีมันอาจจะเป็นแค่ความใคร่

 

นิวท์ห่างหายจากเรื่องพวกนี้มาสักระยะและด้วยวัยที่ย่างเข้าสู่เลขสามก็ทำให้นิสัยรักสนุกลดลงไปเยอะ เขาเริ่มเบื่อกับความสัมพันธ์ที่ฉาบฉวยพวกนั้นและอยากที่จะเริ่มจริงจังกับใครสักคน

 

และช่วงนั้น มินโฮก็เข้ามา

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

“อ้าว นึกว่าหลับอยู่เสียอีก” ริมฝีปากบางยกยิ้มเมื่อสัมผัสได้ถึงการตอบสนองจากร่างที่คิดจะลักหลับ “หืม?”

 

“เปล่า ตื่นก่อนหน้านี้แล้วแต่ไม่รู้ว่าควรจะทำหน้าแบบไหนดี?” น้ำเสียงกึ่งกังวลเอ่ยถามก่อนจะขยับถอยออก “ท่าทางคุณดูปกติเหลือเกินนะ”

 

“ไม่งั้นคุณจะให้ผมทำยังไงล่ะ ฟูมฟายว่าคุณขืนใจอะไรทำนองนั้นหรือ…ขนลุกน่า” นิวท์หัวเราะ ชายผมบลอนด์รู้สึกเช่นนั้นจริงๆ เขาไม่ได้เสียใจอะไรมากมายนักกับเรื่องที่เกิดขึ้น ตรงข้ามค่อนข้างจะพอใจกับมันพอสมควรเสียด้วยที่ความสัมพันธ์ของพวกเขาพัฒนามาในขั้นนี้ “แต่ถ้าคุณลำบากใจจะทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ได้นะ ผมโอเค”

 

“เรายังเป็นเพื่อนกันต่อได้ไหม?” มินโฮถาม

 

“แน่นอนอยู่แล้ว”

 

 

 

 

 

 

 

 

หลายเดือนถัดมาพวกเขาทั้งคู่ก็ยังคงสถานะของความเป็นเพื่อนเอาไว้ ยังคงชวนกันไปทานอาหาร ดูหนัง หรือออกกำลังกายที่สวนสาธารณะซึ่งอยู่อีกฝั่งของถนนอย่างสม่ำเสมอเช่นเดิม ที่เพิ่มเติมมาคือเรื่องบนเตียงที่พวกเขามักจะหาโอกาสทำกันแทบทุกสุดสัปดาห์

 

มินโฮที่เขาได้ทำความรู้จักมากขึ้นเป็นคนขี้กังวล อ่อนไหว บางครั้งก็ปากเสียและงี่เง่าได้อย่างไม่น่าเชื่อ หากแต่ทุกครั้งที่อยู่ภายใต้อ้อมกอดที่แสนอบอุ่นนั้นนิวท์กลับรู้สึกว่าต่อให้มีฟ้าถล่มลงมาเขาก็ไม่คิดจะกลัว

 

“วันนี้คุณดูไม่ค่อยมีสมาธิเลย” เสียงหวานที่แหบเครือจากการส่งเสียงครางเพื่อบรรเทาอารมณ์ที่ปั่นป่วนกว่าค่อนคืนถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงก่อนที่จะใช้นิ้วเรียวไล่เกลี่ยเล่นตามขมับที่ชื้นเหงื่อก่อนจะค่อยๆพรมจูบตามใบหน้าได้รูปนั้นอย่างอ้อยอิ่ง “งานมีปัญหารึเปล่า”

 

“เปล่า” มินโฮถอนใจก่อนจะยกฝ่ามือนิ่มนั้นขึ้นมาจูบอย่างทะนุถนอม “งานเรียบร้อยแล้ว…พรุ่งนี้ผมก็จะกลับอเมริกา”

 

“งั้นเหรอ?” นิวท์เอ่ยได้แต่เพียงคำตอบรับสั้นๆ

 

เรื่องสำคัญขนาดนี้ทำไมถึงได้เพิ่งมาบอก?

 

ชายหนุ่มผมดำประคองแก้มใสของคนที่แม้จะยังไม่ได้ชื่อว่าเป็นคนรักแต่ก็เป็นยิ่งกว่านั้นไปแล้วอย่างอ่อนโยน นัยน์ตาสีนิลเจือไปด้วยความรู้สึกผิด “ยังจำเพลงนั้นที่ผมขอให้คุณแปลที่ในผับได้ไหม?..คุณคือคนนั้นนะนิวท์ คนที่ทำให้โลกของผมหมุนไป คนที่เป็นแรงบันดาลใจให้ผมพยามทำงานได้อย่างเต็มที่คนนั้น…คนที่เป็นความสุขของผม”

 

เฮ้…ถ้าฉันทำให้นายมีความสุขได้จริงๆทำไมถึงทำหน้าแบบนั้นล่ะมินโฮ

 

“ผมขอโทษที่ขอให้คุณเป็นแค่เพื่อน…แต่ผมกลัวว่าเราจะคิดไม่เหมือนกัน….ผมไม่อยากเสียคุณไป”

 

มาพูดอะไรตอนนี้

 

“ผมอยากให้คุณไปกับผมมากนะรู้ไหม?………แต่งงานกับผมนะ”

 

 

 

 

 

ว่าแล้วไหมล่ะ

 

 

แรงขืนจากมือที่ถูกกอบกุมอยู่ค่อยๆมากขึ้นจนในที่สุดก็หลุดออกไป พร้อมกับรอยยิ้มที่เริ่มกลายเป็นอะไรที่ฝืดเฝื่อนเต็มที นิวท์คิดว่าตัวเองอยากตอบรับและโผเข้ากอดอีกคนราวกับหนังรักโรแมนติค หากแต่สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ได้ทำอย่างที่คิดไว้เลยแม้แต่อย่างเดียว

 

จะทำได้อย่างไรในเมื่อเขารู้ดีว่าตัวเองไม่มีวันที่จะตอบตกลง

แค่คนแปลกหน้าที่บังเอิญเจอกันในวันฝนตก

 

แค่คนที่ถูกทำให้เจ็บจนแทบหายใจไม่ออกกับความรู้สึกที่ไม่ได้อยากจะรับรู้

แค่คนที่บังเอิญเดินเข้มาเจอกันและสุดท้ายก็ต้องจากกันไป

 

 

 

 

“ผมไม่ไปกับคุณหรอกมินโฮ…..แต่ก็ไม่ปฏิเสธนะว่าตอนที่อยู่กับคุณผมเองก็มีความสุขมากนะ ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ”

 

เขาตอบกลับมินโฮไปแบบนั้นพร้อมรอยยิ้มที่เศร้าสร้อยก่อนจะพับเก็บคำว่ารักที่อยากพูดลงไปเพราะไม่มีความจำเป็นใดใดที่ต้องพูดมัน

 

มันไม่จำเป็นแล้ว อย่าให้คุณต้องมาลำบากใจเพราะผมเลย

 

 

 

 

“เรายังเป็นเพื่อนกันต่อได้ไหม?” มินโฮถาม คำถามเดียวกันกับที่เขาเคยถามเมื่อครั้งก่อนโน้น หากทว่าในครั้งนี้คำตอบของมันกลับไม่เหมือนเดิม

 

 

“ขอโทษด้วยนะมินโฮ ผมเสียใจ”

 

ขอโทษจริงๆ เพราะผมคนทนทำตัวเป็นเพื่อนที่ดีกับคนที่ยังรักอยู่ไม่ได้จริงๆ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

“แล้วพวกนายก็เลยเลิกกัน?” สีหน้าเห็นใจของคู่สนทนาที่ดูจะเป็นกังวลเสียเหลือเกินทำให้นิวท์อดที่จะอมยิ้มออกมาอย่างเอ็นดูไม่ได้

 

“ตลกมากทอมมี่ ตอนนั้นเรายังไม่ได้คบกันเสียหน่อย แล้วก็เลิกทำหน้าเห็นใจเสียทีเถอะทอมมี่ มันดูพิลึกพิลั่นมากรู้ตัวไหม?”

 

“ฉันไม่เข้าใจเลย พวกนายก็รักกัน ทุกอย่างดูจะไปได้ดีทำไมถึง…”

 

“เพราะชีวิตจริงมันไม่ได้โรแมนติคเหมือนกับในละครทีวีแบบที่นายชอบดูน่ะสิ …. ให้ตามหมอนั่นไปตอนนั้นแบบในหนังได้ยังไงกัน วีซ่าก็ไม่มี เรื่องงานทางนี้อีก..นายจะให้ฉันทิ้งทุกอย่างไปกับหมอนั่นหรือไง?” ชายหนุ่มผมทองตอบด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดีก่อนที่เอวบางจะถูกคว้าหมับไปอยู่ในอ้อมกอดของใครบางคนที่เพิ่งมาใหม่ที่แสดงความรักอย่างออกนอกหน้าโดยไม่สนใจว่าคู่สนทนาของคนรักจะทำตาโตราวกับว่าช็อคไปเรียบร้อยเมื่อบุคคลที่เป็นประเด็นโผล่มาให้เห็นกันจะจะพร้อมกับเฉลยข้อข้องใจให้

 

 

 

 

 

“เพราะงั้นนิวท์เลยบอกกับฉันว่าเขาไม่ไปกับฉันหรอก แต่ถ้าอยากจะแต่งงานกับเขาจริงๆให้ไปเตรียมตัวแล้วมาแต่งกับเขาที่นี่แทนน่ะ”

 

THE END

 

ปล. ใครโดนหลอกว่าเขาเลิกกันบ้างก่อนจะอ่านจนจบ กิกิ